ตายแล้วไปไหน โดย
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์
(พิจิตร ิตวณฺโณ)
ขอกลับมาเกิด*
(* เรื่องนี้ ท. เลียงพิบูลย์ ได้เขียนไว้ในกฏแห่งกรรม เห็นว่ามีประโยชน์ในการพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่ จึงขออนุญาตจากนายแพทย์ดำรงศักดิ์ เลียงพิบูลย์ ผู้เป็นบุตรของท่าน เอามาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือนี้ )
เรื่องต่อไปนี้ นับเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้น ผู้เล่าชื่อ คุณบรรจง ชาญทนานนท์ อยู่แขวงคลองสาน ธนบุรี คุณบรรจงก็เริ่มเล่าสาเหตุที่บุตรสาวของตนถึงแก่กรรมให้ฟังว่า
บุตรสาวผมชื่อว่า ด.ญ. มิ่งขวัญ อายุ ๑๐ ขวบ มีพี่เลี้ยงชื่อ นางละม่อม อายุ ๕๐ กว่า ด.ญ. มิ่งขวัญ มีชื่อเล่นว่า ปัง ตามปกติเด็กหญิงมิ่งขวัญแกรักนางละม่อมมาก เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ ลับหลังผมและภรรยา เด็กหญิงมิ่งขวัญจะเรียกนางละม่อมว่าแม่ และชอบเคล้าเคลียกับนางละม่อม รักใคร่อย่างสนิทสนม ตามปกติผมกับภรรยาออกจากบ้านไปทำงานแต่เช้ากลับตอนเย็น ปล่อยให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง
เหตุเกิดขึ้น วันนั้นผมยังจำได้ดีว่าเป็นวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลานั้นโรงเรียนใกล้จะเปิดอยู่แล้ว นางละม่อมได้พาลูกสาวผมไปด้วย จะไปฝากลูกชายแกเข้าโรงเรียนที่วัดแจงร้อน ส่วนลูกสาวผมได้เรียนอยู่ที่วัดใกล้บ้าน
หลังจากฝากเรียนเรียบร้อยแล้ว นางละม่อมกับลูกสาวผม ก็ยืนรอรถประจำทางที่ราษฎร์บูรณะ เพื่อขึ้นรถพาลูกสาวผมกลับบ้าน ในขณะยืนรอรถอยู่นั้น ก็พอดีมีรถบรรทุกสิบล้อกับรถห้องเย็นได้สวนมาชนกันอย่างแรง รถถอยหลังมาชนเอานางละม่อมกับลูกสาวผมที่ยืนอยู่อย่างไม่ทันรู้ตัว เพราะชนกันรถกระแทกจึงถอยอย่างแรง ทำให้ลูกผมและคนเลี้ยงได้ตกไปอยู่ข้างทาง จมอยู่ในน้ำตายทั้งคู่ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของลูกผมกับพี่เลี้ยงจะจบอย่างนี้
ผมกับภรรยาพอรู้เรื่องใจหายลมจะจับ ทำอะไรไม่ถูก มือเท้าอ่อนหมดแรง เพราะลูกอยู่ในบ้านเดียวกัน เมื่อผมกลับจากทำงานก็เห็นหน้าลูกเช้าเย็น เมื่อมาบ้านไม่เห็นหน้าลูกนึกถึงแล้วใจหาย ลูกสาวผมเป็นคนฉลาดน่ารัก อ่อนหวาน เป็นที่รักของคนในหมู่บ้านที่รู้จัก
เมื่อลูกผมตายจากไปแล้ว บางคนในหมู่บ้านรู้ข่าวก็เสียใจร้องไห้เลย ป่วยเป็นไข้ก็มี เรื่องนี้คุณประสิทธิ์และคุณประวัติ ได้สัมภาษณ์ผู้อยู่ใกล้บ้านมาแล้ว
คุณบรรจงบอกว่า ผมคิดว่าตัวผมเป็นพ่อบ้านหัวหน้าครอบครัว ถ้าจะทำใจอ่อนแอเศร้าโศกเสียใจ ก็จะทำให้คนในครอบครัวอ่อนแอไปด้วย ผมจึงตัดสินใจคิดว่า คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อตายไปแล้วจะเสียอกเสียใจปานใดเด็กก็ไม่ฟื้น ผมก็หักใจได้ จึงปลอบคนในบ้านให้หายความเศร้าลงบ้าง
หลังจากวันตายของลูกสาวผมกับนางละม่อมพี่เลี้ยง ได้ผ่านไปแล้วประมาณ ๑ เดือน
คืนหนึ่งผมรู้สึกว่าผมฝันไป แต่คล้ายกับเป็นความจริง ในความฝันรู้สึกว่าผมตื่นขึ้นมานั่งเวลาประมาณตีหนึ่ง มองเห็นนางละม่อมเดินเข้ามา ผมก็เข้าไปทักว่า
“น้าม่อม ตั้งแต่เสียไปแล้วยังไม่เคยพบเลย”
เวลานั้น ผมรู้ว่าแกตายไปแล้ว ผมเดินไปจับมือ นางละม่อมนั่งคอยหลีกเลี่ยง ที่สุดผมก็จับมือได้ ทำให้ผมสะดุ้ง เพราะมือนางละม่อมเย็นยังกับแช่แข็ง จึงคิดว่าคนตายตัวเย็นอย่างนี้เอง และเมื่อนางละม่อมลุกขึ้น ผมก็บอกว่า
“น้าม่อม อย่าเพิ่งไปซี ยังไม่ได้ถามอะไรเลย”
แกตอบว่า “ยังไม่ไปไหนหรอก เพราะขออนุญาตเขามา มีเวลาชั่วโมงหนึ่ง”
ผมก็บอกว่า “ดีแล้ว เราจะได้มีเวลาคุยกันมากหน่อย” นางละม่อมบอกว่า “การที่พาลูกสาวคุณไปตายในครั้งนี้ขออย่าโทษฉันเลย”
ผมก็บอกว่า “ผมไม่โทษหรอก เพราะเรื่องเหล่านี้แล้วแต่เป็นเรื่องของกรรมแต่ละคน โทษกันไม่ได้ เพราะเกิดอุบัติเหตุไม่มีทางป้องกัน”
นางละม่อมก็บอกว่า “ดีแล้วฉันก็จะได้สบายใจ”
ผมก็บอกว่า “ที่ผมทำบุญสังฆทานอุทิศส่วนกุศลไปให้น้าม่อม ได้รับหรือเปล่า”
แกก็บอกว่า “ได้รับ”
ผมก็บอกว่าได้เรียกร้องเงินจากเจ้าของรถมาได้เท่าไร ผมก็มอบให้ครอบครัวน้าม่อมหมด ส่วนค่าทำศพซื้อโลง และทำบุญเลี้ยงพระ ผมเป็นคนออกให้ทั้งสิ้น จากนั้นผมยังให้ลูกชายนางละม่อมบวชเณรหน้าไฟเมื่อเวลาเผาศพ ผมเป็นเจ้าภาพตลอดงาน เป็นเงินส่วนตัว และได้พูดถึงสามีแกเขาจะทำบุญบ้าน จะช่วยอะไรได้บ้างไหม
แกบอกว่า “อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ให้เขาทำตามเรื่องราวของเขา”
ผมก็บอกว่า “ผมถือว่าน้าม่อมก็เหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวเราผู้หนึ่ง มีอะไรต้องช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้ การเสียเงินเสียทองไม่เป็นไร”
เสียงนางละม่อมพูดว่า “ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตามใจ” แล้วแกก็พูดอย่างหนักแน่นว่า
“การที่ฉันพาปังไปตายคราวนี้อย่าเสียใจเลย ปีหน้าฉันจะพามาส่งคืน คราวนี้คุณจะได้ลูกสาวอันแท้จริงมาเกิด”
ผมก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า “ที่น้าม่อมพูดมานี้เป็นความจริงหรือ ฉันจะได้ลูกคืน”
นางละม่อมพูดอย่างหนักแน่นว่า “จริงๆ”
แต่แล้วในความรู้สึกของผมว่าเป็นเวลาประมาณตี ๒ กว่า ผมก็ล้มตัวลงนอนหลับไป คิดว่าเป็นเวลาพอดีหนึ่งชั่วโมงที่นางละม่อมได้รับอนุญาตให้มาได้
รุ่งเช้าผมตื่นนอนแล้ว มาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผมฝัน จะว่าเป็นความฝันก็ไม่ได้ เพราะมันแจ่มแจ้งชัดเจน หรือจะพูดว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ไม่ใช่ เหมือนรู้สึกตัวว่าตื่นมากกว่าหลับ ถ้อยคำทุกตอนผมยังจำได้แม่นยำ น้ำเสียงของนางละม่อมที่พูดก็ยังก้องหูไม่จาง ผิดกว่าความฝันธรรมดา ซึ่งตื่นขึ้นกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมได้เล่าความฝันให้แม่บ้าน และคนในบ้านฟังด้วยความตื่นเต้น ทำให้ผมยังคิดสงสัยไปว่า จะเป็นความจริงได้หรือ เพราะระยะที่ภรรยาผมคลอดเด็กหญิงมิ่งขวัญผ่านมาสิบปี ไม่มีวี่แววจะเกิดบุตรอีก แม้ ๓ ปีแรกจะคุมกำเนิด
ทำให้ผมอยากจะไปหาคนที่ทรงเจ้าเข้าผี จะได้สอบถามให้รู้เรื่องว่าจะตรงกับความฝันไหม ที่สุดผมก็ได้ข่าวว่าที่ฝั่งธนฯ มีคนทรงเป็นจีน ผมกับภรรยาก็เดินทางไปหา พบกับคนทรง ดูท่าทางคนทรงอายุประมาณ ๓๐ กว่า จึงบอกความประสงค์ เขาถามว่า จะต้องการทรงวิญญาณชื่ออะไร ผมก็บอกว่า อยากพบกับวิญญาณของนางละม่อม เมื่อทางคนเข้าทรงทราบความประสงค์ก็มีการท่องชื่อนางละม่อม ให้สำเนียงเรียกชื่อให้ถูกต้องแล้วท่องบ่นเป็นภาษาจีน ฟังเสียงคล้องจอง เป็นคำอัญเชิญวิญญาณของนางละม่อม เพราะได้กล่าวชื่อนางละม่อมทุกระยะ สักครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าคนทรงมีกิริยาท่าทางเปลี่ยนไป รู้สึกว่าวิญญาณกำลังจะเข้าสิงในร่างคนทรง แต่แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเป็นวิญญาณของนางละม่อม ก่อนจะพูดเรื่องอะไรก็มีเสียงถามผมว่า “อยู่สบายดีหรือ”
ผมก็บอกว่าสบายดี แล้วก็ถามถึงเด็กที่บ้าน ผมก็บอกว่าทุกคนสบายดี แล้วนางละม่อมก็ถามถึงคนโน้นคนนี้ ที่แกเคยรู้จักชอบพอเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนที่นางละม่อมถามถึง ผมก็บอกว่าอยู่สบายดี และถามถึงบุตรชายของผมว่าทำไมไม่พามาด้วย ผมก็บอกว่ามาไม่ได้เพราะกำลังเรียนหนังสือ แล้วผมถามว่า น้าม่อมเป็นอย่างไรสบายดีหรือ แกก็บอกว่าสบายดี ผมถามว่า น้าม่อมได้รับผลบุญที่ใส่บาตรและทำสังฆกรรมกรวดน้ำไปให้ ได้รับหรือเปล่า แกก็บอกว่าได้รับแล้ว ไม่รู้จะว่าอย่างไร ขอขอบใจมากๆ นะ กิริยาท่าทางเหมือนเมื่อนางละม่อมครั้งมีชีวิตอยู่ ผมถามว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วน้าม่อมได้ไปเข้าฝันฉันที่บ้าน น้าม่อมต้องการอะไรที่ขาดเหลืออะไรบ้าง ฉันจะได้ทำบุญอุทิศมาให้ นางละม่อมพูดว่าวันนั้นฉันบอกว่าการทำบุญให้ฉันก็ขอบใจแล้ว ไปเยี่ยมบอกข่าวเรื่องลูกสาวเท่านั้น วันนี้ฉันก็อยู่นานไม่ได้ต้องลาไปก่อน ขอบใจมากนะอุตส่าห์มาเยี่ยมฉัน ขอให้โชคดีนะ
เมื่อพูดเสร็จก็รู้สึกว่า วิญญาณของนางละม่อมออกจากร่างคนทรงไป กิริยาท่าทางเหมือนเมื่อนางละม่อมครั้งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อคนทรงรู้สึกตัวแล้ว ผมก็ขอร้องให้ชาวจีนคนทรง ขอให้เรียกวิญญาณลูกสาวผม บอกชื่อเล่นว่าปัง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนเหล่านั้นพูดเป็นกลอนภาษาจีนแบบเดิม นอกจากเปลี่ยนชื่อเป็นอาปังหลายครั้ง เพื่อเรียกวิญญาณของลูกสาวผมมาเข้าร่าง สักครู่หนึ่งเขาก็หยุด ดูกิริยาท่าทางของคนทรงกำลังจะมีวิญญาณเข้ามาในร่าง อีกสักครู่หนึ่งก็พูดอ้อแอ้เป็นภาษาไทย ผมก็ถามว่า ปังลูกพ่อใช่ไหม เสียงตอบว่า “ใช่จ้ะ”
ผมก็ถามต่อไปว่า “ปัง ลูกสบายดีหรือ”
เสียงตอบว่า “ปังสบายดีอยู่กับน้าม่อม พี่ใหญ่ไม่เห็นมา และพี่รองก็ไม่เห็นมาเลย พวกที่บ้านเขาสบายดีหรือ”
ผมก็บอกว่า “สบายดี ทุกคนเขาก็เป็นห่วงปัง คิดถึงปัง ปังเป็นห่วงพ่อแม่พี่น้องบ้างหรือเปล่า”
เสียงออกจากคนทรงว่า “ปังเป็นห่วง ปังคิดถึงพ่อแม่ ปังมีพี่น้อง ๔ คน เดี๋ยวนี้เหลือ ๓ คนเท่านั้น”
ผมรู้สึกแปลกๆ ที่วิญญาณลูกผมรู้จักว่ามีพี่น้อง ๔ คน เวลานี้เหลือ ๓ คน ซึ่งสิ่งเหล่านี้พวกคนทรงไม่มีใครรู้เรื่อง ผมจึงถามปังว่า “ลูกต้องการอะไรที่ขาดเหลือ พ่อจะหามาทำบุญ อุทิศส่วนกุศลมาให้”
เสียงปังพูดว่า “ไม่ต้องหรอก เพราะลูกจะเกิดใหม่ ลูกจะเกิดเป็นลูกพ่อลูกแม่ในปีหน้านี้แล้ว”
ผมถามว่า “ลูกมาเกิดเป็นลูกแล้ว จะมีอะไรเป็นเครื่องหมายให้พ่อแม่รู้ว่าลูกกลับมาเกิดแน่”
ปังบอกว่า “ถ้าหนูมาเกิดคราวนี้ ก็จะให้ลาภกับพ่อแม่นะ และมีเครื่องหมายที่แขนและที่ตัว”
ผมจึงบอกว่า “ถ้าลูกมาเกิดคราวนี้ ขอให้มีอายุยืนยาวอยู่นานๆ นะ”
เสียงแม่บ้านผมเขาถามว่า “แม่อุทิศเสื้อผ้าไปให้ลูกนั้นได้รับหรือเปล่า แล้วใส่ได้ไหม”
แกตอบว่า “ได้รับและใส่ได้ ลูกจะไปละนะ อยู่นานไม่ได้ ลูกจะต้องลาก่อนละนะ เมื่อลูกมาเกิดจะให้ลาภพ่อแม่นะ”
หลังจากวันเข้าทรงแล้ว เมื่อลูกผมบอกว่าจะกลับมาเกิดใหม่ ตรงกับนางละม่อมบอกในฝันครั้งแรก ผมจึงแน่ใจ ก็บอกกับหมู่ญาติและเพื่อนบ้านใกล้เคียง ปังลูกสาวผมจะกลับมาเกิดใหม่ในปีหน้า
คุณประสิทธิ์ ถามว่า เหตุใดคุณบรรจงจึงแน่ใจว่าลูกสาวคุณต้องกลับมาเกิดใหม่ มีอะไรทำให้แน่ใจ คุณบรรจงบอกว่า ที่ผมแน่ใจครั้งแรกผมฝันถึงนางละม่อมมาบอกว่า จะนำลูกอันแท้จริงมาคืนให้ในปีหน้า เมื่อไปเข้าทรงลูกสาวผมก็บอกจะกลับมาเกิดเป็นลูกผม นี่เหตุผล เพราะมันตรงกันไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ผมจึงไปบอกเพื่อนบ้านและญาติเพื่อให้รับรู้ไว้ก่อน ต่อมาภรรยาผมก็ตั้งครรภ์ ผมก็ดีใจ เพราะในระยะหลังจากเด็กหญิงปัง หรือเด็กหญิงมิ่งขวัญเกิดแล้ว ภรรยาผมก็ไม่เคยมีลูกอีกเลย
ต่อจากนั้น วันเวลาผ่านไปครรภ์ก็ค่อยๆ เติบโต จนถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๒ พอดีครบรอบปีตรงกับวันตายของลูกสาวผม เช้ามืดวันนั้นภาายาผมตื่นขึ้นมาจัดการทำบุญใส่บาตรพระตอนเช้า แต่ทำบุญเสร็จก็บ่นว่าชักจะเจ็บท้อง เวลานั้นเป็นเวลาย่ำรุ่งกว่าๆ ผมก็เลยบอกให้รีบอาบน้ำแล้วไปกราบพระพุทธ เสร็จแล้วผมก็รีบนำแกขึ้นรถไปส่งที่โรงพยาบาลหัวเฉียว ถึงโรงพยาบาลประมาณ ๘ โงเช้า ภรรยาผมก็คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง เมื่อคุณบรรจงเล่า ปล้วก็ชี้ให้เราดูเด็กหญิงเล็กๆ กำลังหลับสนิทอยู่ในเปลผ้า พี่เลี้ยงกำลังแกว่งไกวไปมา
ข้าพเจ้ามองดูแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เด็กหญิงเล็กๆ ผู้เพิ่งจะลืมตาดูโลก มีอายุเพียง ๓ เดือนกว่า มีประวัติลึกลับซับซ้อนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ คิดว่าเราจะต้องติดตามเป็นระยะกว่าแกจะเติบโตพอที่จะพูดได้ เกิดความรู้สึกว่า อาจมีสิ่งลี้ลับแฝงอยู่ในตัวเด็กหญิงผู้นี้ เมื่อโตพอจะพูดเรื่องอดีตชาติ คงจะเกิดประโยชน์แก่สังคมที่สนใจ ที่ได้เริ่มปะติดปะต่อไว้ก่อน ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป
วันนั้น เราได้ข้อความมาจากคุณบรรจงบันทึกไว้ พอเรียบเรียงเริ่มแรกชั้นต้น ก่อนที่จะลาออกจากบ้าน คุณบรรจงบอกว่า เมื่อวันที่เด็กหญิงคลอดออกมาแล้ว คืนนั้นผมได้ฝันว่า จำได้ว่าคืนนั้นผมตื่นขึ้นรู้สึกกระหายน้ำ ลุกขึ้นมาดื่มน้ำเวลาประมาณตี ๑ กว่าๆ แล้วกลับไปนอน คราวนี้ ผมก็ฝันเห็นนางละม่อมเข้ามาหาผม แต่งตัวนุ่งขาวห่มขาวแล้วพูดกับผมว่า “โยม ได้เอาลูกที่แท้จริงมาส่งคืนให้แล้วนะ”
ผมก็บอกว่ารับไว้แล้วเมื่อเช้านี้ แต่ทำไม น้าม่อมต้องนุ่งขาวด้วยล่ะ
แกบอกผมว่า เวลานี้แกไปถือศีลอยู่กับเจ้าแม่ขุนด่าน มีความสงบสบายแล้ว
ผมก็เลยถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวผมครั้งนี้เป็นเรื่องราวมหัศจรรย์ ผมจะนำออกเผยแพร่ให้รู้กันทั่วไป จะมีอะไรผิดหรือมีข้อห้ามหรือเปล่า
นางละม่อมบอกว่า เรื่องนี้พูดไปเถิดไม่เป็นไร เพราะคนสมัยนี้เขาไม่เชื่อบุญเชื่อบาป จิตใจมันถึงเลวทรามต่ำช้า สร้างกรรมชั่ว เห็นแก่ตัว เมื่อได้เผยแพร่เรื่องนี้ ก็คงจะทำให้คนเกิดกลัวบาปขึ้นมาบ้าง จิตใจจะได้ดีขึ้น รู้จักศีลธรรม บ้านเมืองก็จะอยู่กันด้วยความสงบสุข ผู้คนจะไม่เห็นแก่ตัวเกินไป
คืนนั้น ผมฝันเห็นนางละม่อมครั้งสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ฝันเห็นนางละม่อมตลอดมาจนบัดนี้
เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ คุณประสิทธิ์ การุญญวณิช ได้ไปหาคุณบรรจงที่บ้าน เพื่อจะได้สังเกตุเด็กหญิงเล็กๆ ผู้นั้นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ คิดว่าคุณบรรจงกับภรรยาอยู่บ้าน คุณประสิทธิ์ไม่ได้โทรศัพท์นัดไว้ก่อน เมื่อคุณประสิทธิ์ไป ก็ปรากฏว่าคุณบรรจงกับภรรยาไม่อยู่บ้าน คุณประสิทธิ์เดินกลับออกมา พอมาถึง ห่างจากหน้าบ้านไม่ไกลนัก ก็มองเห็นหญิงสาวกำลังอุ้มเด็กเล็กยืนอยู่ข้างทาง พอเด็กหญิงเล็กๆ ผู้นั้น มองเห็นข้าพเจ้าก็หัวเราะ ดิ้นรนแสดงความดีใจอยู่ในอ้อมอกของพี่เลี้ยง สะบัดมือสะบัดเท้าแสดงท่าทางอยากจะโผมาให้ข้าพเจ้าอุ้ม จึงนึกสงสัย ถามผู้ที่กำลังอุ้มอยู่ว่า นี้ลูกคุณบรรจงที่ตายแล้วกลับมาเกิดใช่ไหม พี่เลี้ยงบอกว่า ใช่ เมื่อข้าพเจ้าอ้ามือออกไปทำท่าจะอุ้ม เด็กก็โผจากพี่เลี้ยงมาหาข้าพเจ้าทันที เหมือนเป็นคนคุ้นเคยสนิทชิดเชื้อมานาน เด็กเอาหัวตะแคงพาดบนไหล่ข้าพเจ้า แล้วก็หัวเราะแสดงท่าทางดีใจร่าเริง ข้าพเจ้าก็นึกแปลกใจ
คุณประสิทธิ์ มองเห็นแล้วก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า ไม่น่าเชื่อเด็กหญิงเล็กๆ จะโผเข้ามาให้คนแปลกหน้าอุ้มอย่างดีอกดีใจเช่นนี้ ทั้งเป็นผู้สูงอายุด้วย คงหายาก เป็นเรื่องแปลกมาก
เมื่อกลับมาถึงบ้านคืนนั้น ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปถามคุณบรรจงว่า ลูกสาวคุณตามปกติให้คนอุ้มง่ายๆ ไม่แปลกหน้าใช่ไหม ได้ยินคุณบรรจงบอกว่า ปกติแกไม่ยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ ถ้าไม่คุ้นเคยใกล้ชิดกันจริงๆ ก็ไม่ยอมให้อุ้ม มักจะหันหน้าหนีพยายามกอดคอพี่เลี้ยงไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้ใครดึงไปจากพี่เลี้ยง
ข้าพเจ้าบอกคุณบรรจงว่า วันนี้ผมไปที่บ้านคุณ แต่คุณไม่อยู่ ลูกสาวคุณโผมาทำท่าจะให้ผมรับมาอุ้ม นับเป็นเรื่องแปลก ทั้งๆ ที่แกก็ไม่เคยเห็นหน้าผมมาก่อน เพราะครั้งแรกผมไปแกก็นอนหลับ เวลาผมกลับก็ยังไม่ตื่น คุณบรรจงบอกว่า ผมทราบจากพี่เลี้ยงของลูกสาวผมแล้ว ก็นึกแปลกใจเหมือนกัน
ข้าพเจ้าบอกว่า ผมจะเยี่ยมหนูคนนี้ เมื่อเวลาอายุ ๑ ขวบ และ ๒ ขวบ กว่าแกจะพูดได้ ผมแน่ใจว่าคงได้เรื่องที่แปลกประหลาดที่เป็นประโยชน์ เพื่อบันทึกไว้เป็นตอนๆ คงจะได้ข้อคิดเห็นอีกไม่มากก็น้อย ท่านที่สนใจคงจะได้อ่านต่อไป
บังเอิญเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าได้รับข่าวความเคลื่อนไหวทางโทรศัพท์เพิ่มเติมจากคุณบรรจง ชาญทนานนท์ ผู้เป็นบิดาว่า เด็กหญิงเล็กๆ กลับชาติมาเกิดเป็นบุตรสาว บัดนี้อายุประมาณ ๙ เดือน รู้สึกว่ามีกิริยาท่าทางเฉลียวฉลาด ผิดกว่าเด็กธรรมดารุ่นเดียวกัน ซึ่งบัดนี้เดินได้แข็งแรงแล้ว แม้จะพูดจาคำสั้นๆ แต่สำเนียงชัดถ้อยชัดคำฟังได้ชัดเจน
ข้อคิดเห็นสำหรับเรื่องนี้ว่า โลกมนุษย์ในยุคนี้แม้เจริญเพียงใด แต่ก็ยังมีสิ่งลี้ลับแฝงอยู่ทั่วไป กระผมคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า วิทยาศาสตร์เหมือนเวลากลางวัน ส่วนความลี้ลับมหัศจรรย์เหมือนเวลากลางคืน เหมือนของคู่กัน.
เทพเจ้าชักนำ
พระพุทธศาสนายอมรับว่าเทวดาหรือเทพเจ้ามีอยู่จริง แต่ไม่ยอมรับอำนาจของเทพเจ้าที่มีอำนาจสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ อย่างที่ศาสนาประเภทเทวนิยมเชื่อกัน พระพุทธศาสนาถือว่าการเกิดเป็นเทวดาหรือเป็นเทพเจ้า ก็ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้ แต่เมื่อหมดบุญแล้ว เทพเจ้าเหล่านั้นก็ต้องจุติไปเกิดในกำเนิดใดกำเนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ แม้มนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉานที่ทำกรรมดีไว้ เมื่อตายไปก็อาจจะไปเกิดเป็นเทพเจ้าในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งก็ได้ ตามอำนาจกรรมดีและกรรมชั่วที่ตนได้ทำไว้ แม้พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายก่อนที่จะมาอุบัติในพระชาติสุดท้ายนี้ ในชาติก่อน ๆ จากนี้ พระองค์ทรงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนนับครั้งไม่ถ้วน บางชาติก็เกิดมาเป็นมนุษย์ บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางครั้งก็เกิดในนรก บางชาติก็เป็นเทวดา หรือเป็นพระพรหมอยู่บนสวรรค์ ซึ่งผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาทั่วถึงแล้ว ย่อมทราบได้โดยไม่ยากเลย
เรื่องเทพเจ้าหรือเทวดา ก็เป็นส่วนหนึ่งในคำสอนของพุทธศาสนา เพราะเป็นการยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ดังหลักฐานยืนยันจากเรื่อง ๓ เรื่อง อันเกี่ยวกับเทวดาผู้ชักนำมนุษย์มานับถือพระพุทธศาสนา มีทั้งเรื่องในอดีตและเรื่องในปัจจุบัน ซึ่งข้าพเจ้าจะได้นำมากล่าวแต่โดยย่อ ดังต่อไปนี้
เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ โดยใจความว่า ในกาลครั้งหนึ่ง พวกมนุษย์เป็นจำนวนมากได้เดินเรือในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อเรือที่โดยสารไปเกิดอับปางลงในทะเลหลวง ก็ตกเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำในท้องทะเลหลวงนั้นหมดทุกคน เว้นไว้แต่ชายคนหนึ่งผู้มีนามว่า พาหิยะ ที่รอดชีวิตมาได้ เขาได้เกาะแผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง พยายามว่ายน้ำจนรอดชีวิตมาขึ้นฝั่งที่ท่า สุปปารกะ แต่อนิจจา เขาไม่มีเครื่องนุ่งห่มติดกายอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว เนื่องจากเขาไม่ได้เครื่องนุ่งห่มอะไรอื่น จึงได้ใช้เปลือกปอพันไม้แห้งเข้าแล้วทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ได้หยิบกระเบื้องจากเทวาลัยแห่งหนึ่งมาทำเป็นภาชนะสำหรับขอทาน แล้วเดินทางไปถึงท่าสุปปารกะ
พวกประชาชนที่ท่าเรือแห่งนั้นเห็นเขาแล้ว ก็ได้ให้ข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น แก่เขา ต่างก็พากันพูดยกย่องว่า “ชายผู้นี้เป็นพระอรหันต์ไกลจากกิเลสผู้หนึ่ง” เมื่อประชาชนนำผ้ามาให้ เขาก็ไม่ยอมรับ ด้วยคิดเห็นว่า “ถ้าเรานุ่งหรือห่มผ้าแล้ว ลาภสักการะของเราก็จะเสื่อม การที่คนมานับถือเราก็เพราะเขาเห็นเราไม่นุ่งผ้านั่นเอง” เขาจึงนุ่งแต่เปลือกไม้ คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อเขาว่า “ทารุจีริยะ” แปลว่า “ผู้นุ่งห่มเปลือกไม้”
ต่อมา เมื่อคนเป็นจำนวนมากเรียกเขาว่าเป็นพระอรหันต์ เขาก็เกิดเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แต่ภายหลังเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาเมื่อชาติก่อนโน้น มาเตือนเขา ทำให้เขาคิดได้ แล้วเขาได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จนได้สำเร็จพระอรหันต์ในที่สุด
เขามีความสัมพันธ์กับเทวดาองค์นี้อย่างไร เทพเจ้าองค์นี้จึงมาช่วยเขา เชิญผู้สนใจติดตามต่อไป
เล่ากันมาว่า เมื่อศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ เสื่อมถอยลง (พระกัสสปะพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในบรรดาพระพุทธเจ้า ๕ องค์ ซึ่งมาตรัสรู้ในกัปนี้ และได้ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าของเรา) ณ กาลครั้งนั้น มีภิกษุ ๗ รูป เห็นพวกภิกษุสามเณร ประพฤติย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัย ก็เกิดความสลดใจ ได้ปรึกษาตกลงกันว่า “ตราบใคที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสูญไป ตราบนั้นพวกเราจะทำที่พึ่งให้แก่ตนให้ได้” ปรึกษาตกลงกันแล้ว จึงไปไหว้เจดีย์ทอง อันเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้า แล้วพากันเข้าสู่ป่า พบภูเขาลูกหนึ่ง จึงพูดกันว่า “ผู้ที่มีความอาลัยในชีวิตอยู่ ก็จงพากันกลับไป ส่วนผู้ที่ไม่มีความห่วงใยในชีวิตแล้ว จงพากันขึ้นภูเขาลูกนี้” พูดเสร็จก็ได้พาดบันไดขึ้น แล้วทั้ง ๗ รูป จึงได้ปีนขึ้นไปยังภูเขานั้นทางบันไดที่พาดนั้น เมื่อขึ้นเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ผลักบันไดลงเสีย แล้วตั้งหน้าปฏิบัติสมณธรรมกันอย่างจริงจัง เพื่อหวังบรรลุมรรคผลอันเป็นจุดหมายสูงสุดของแต่ละท่าน
พอผ่านไปได้คืนเดียวเท่านั้น ในจำนวนพระทั้ง ๗ รูป พระสังฆเถระ (คือผู้ที่มีพรรษาแก่กว่าทุกรูป) ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์เป็นรูปแรก และท่านสามารถไปนำบิณฑบาตรจากที่ไกลมาถวายพระภิกษุ ๖ รูป แต่ทุกรูปปฏิเสธไม่ยอมฉันโดยกราบเรียนว่า “ท่านครับ ก็พวกผมได้ทำกติกากันไว้หรือว่า ถ้าผู้ใดสำเร็จพระอรหันต์ก่อน รูปที่ยังไม่สำเร็จจะฉันบิณฑบาตรที่ผู้สำเร็จอรหันต์นั้นนำมา”
“ไม่ได้ทำกันไว้ดอกคุณ” พระสังฆเถระตอบ
“ถ้าอย่างนั้น แม้พวกกระผมก็จะทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นเหมือนอย่างท่าน แล้วจะไปนำบิณฑบาตรมาฉันด้วยตนเอง” ภิกษุอีก ๖ รูป กล่าวอย่างหนักแน่น และไม่ยอมฉันบิณฑบาตร ที่พระสังฆเถระนำมาถวาย
พอถึงวันที่สอง พระเถระรูปที่สองก็ได้บรรลุพระอนาคามิผล แล้วไปบิณฑบาตรมาถวายภิกษุอีก ๕ รูป แต่ทั้ง ๕ รูปก็ไม่ยอมฉัน โดนกล่าวยืนยันอยู่เหมือนเดิม
ในที่สุด พระเถระที่สำเร็จพระอรหันต์ก็ได้ปรินิพพาน ส่วนรูปที่ได้เป็นพระอนาคามีไปบังเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลก อันเป็นเทพเจ้าชั้นสูงตามหลักในพุทธศาสนา แต่อีก ๕ รูปที่ยังเหลือ เมื่อไม่อาจจะได้บรรลุมรรคผลอันใด ผ่ายผอมหนักเข้า พอถึงวันที่ ๗ ก็ถึงแก่มรณภาพหมดทั้ง ๕ รูป แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ด้วยอำนาจบุญที่ตนได้ทำไว้
พอถึงสมัยพุทธกาล ทั้งห้าก็จุติจากสวรรค์ ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ในจำนวนทั้งห้าท่านนั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่า ปุกกุสะ (และปุกกุสะนี้ ก็คือกามนิต ในเรื่องกามนิตวาสิษฐี ตามคุมภีร์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนั่นเอง) คนหนึ่งเกิดมาเป็นพระกุมารกัสสปะ คนหนึ่งเกิดเป็นพระทัพพมัลลบุตร คนหนึ่งเกิดเป็นบุรุษชื่อว่าพาหิยะ (ทารุจีริยะ) อีกคนหนึ่งเกิดเป็นปริพพาชกชื่อสภิยะ
ในจำนวนทั้ง ๖ ท่านนั้น ภิกษุที่ไปเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก วันหนึ่งมาคำนึงถึงเพื่อนของท่านว่าไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด จึงได้ตรวจดูด้วยทิพยจักษุของตน ก็ได้พบว่า เพื่อนคนหนึ่งของท่านไปเกิดเป็นบุรุษชื่อว่า พาหิยะ บัดนี้กำลังเดินทางผิด ซึ่งท่านจะต้องลงไปช่วยชักนำให้เดินทางถูก
ดังนั้น คืนวันหนึ่ง พระพรหมนั้น จึงได้มาจากพรหมโลก เพื่อจะช่วยเพื่อนของท่าน มาถึงที่อยู่ของพาหิยะ ขณะยืนอยู่บนอากาศนั่นเอง ก็ได้พูดเตือนทารุจีริยะว่า “พาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นอรหันต์ดอก ทั้งท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติไปตามทางของพระอรหันต์ด้วย แม้ข้อปฏิบัติของท่าน ที่จะทำให้ท่านเป็นพระอรหันต์ หรือเดินไปตามทางของพระอรหันต์ก็ไม่มีเลย”
พาหิยะ มองดูท้าวมหาพรหมกำลังพูดอยู่เช่นนั้น จึงคิดว่า “น่าสลดใจแท้ เราทำกรรมหนักเสียแล้ว เราสำคัญตัวว่า เราเป็นพระอรหันต์ แต่เทพเจ้านี้บอกเราว่า เราไม่ใข่พระอรหันต์ ทั้งไม่ใช่ผู้ปฏิบัติไปตามทางของพระอรหันต์ ก็ในโลกนี้ยังมีใครอื่นที่เป็นพระอรหันต์อยู่หรือ” เขาจึงได้ถามพระพรหมนั้น และก็ได้รับคำตอบจากพระพรหมนั้นว่า “พาหิยะ ณ ชนบททางด้านทิศเหนือ มีพระนครอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า สาวัตถี ณ นครแห่งนั้น บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง และแสดงธรรมเพื่อให้ผู้อื่นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ด้วย”
พาหิยะเมื่อทราบดังนั้น ก็เกิดความสลดใจที่ตนเองเดินทางผิด แล้วออกเดินทางจากท่าสุปปารกะในคืนวันนั้น มุ่งตรงไปยังเมืองสาวัตถี อันอยู่ห่างจากที่นั้นถึง ๑,๙๒๐ กม. (ร้อยยี่สิบโยชน์) เมื่อไปถึงแล้วก็ได้พบพระพุทธเจ้า ขณะที่กำลังเสด็จบิณฑบาตรอยู่บนถนนสายหนึ่ง ของเมืองสาวัตถี และได้ฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแต่เพียงโดยย่อ ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ในขณะที่ยืนอยู่บนถนนในเมืองนั่นเอง
เนื่องจากพระพาหิยะ ได้สำเร็จพระอรหันต์ด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางตรัสรู้ได้เร็ว
พระพาหิยะ ได้มาพบพระพุทธเจ้าก็เพราะเทพชักนำ และได้สำเร็จพระอรหันต์ ก็เพราะบุญบารมีที่ท่านเคยสั่งสมไว้เมื่อปางก่อนมาสนับสนุน.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปพบกับพระอินโดนีเซียรูปนี้ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๐ และได้สัมภาษณ์สอบถามรายละเอียดกับท่าน พร้อมกับบันทึกเทปไว้ด้วย ซึ่งท่านก็ยินดีเล่าความเป็นไปต่างๆ ให้ทราบโดยละเอียด โดยเฉพาะเรื่องที่เทวดาสอนกรรมฐานแก่ท่าน แล้วชักนำให้ท่านมานับถือพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่น่าสนใจมาก
พระอินโดนีเซียรูปนี้ มีนามเดิมว่า บุษณะ บูรฮานูดิน (Busana Burahanudin) มีนามฉายาทางศาสนาว่า สุธมฺโม และคนส่วนมากเรียกท่านว่า ท่านสุธัมโม
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ เกาะมธุระ ประเทศอินโนีเซีย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทคนิคในเกาะชวา แล้วออกทำงานในบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ท่านเป็นคนชอบค้นคิด และสนใจในปัญหาทางด้านศาสนามาก มีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่านมีชีวิตที่น่าศึกษามากผู้หนึ่ง ซึ่งผู้เขียนขอนำมากล่าวไว้เฉพาะบางตอนดังต่อไปนี้
ท่านนับถือศาสนาอิสลามตามมารดาบิดาของท่าน และได้ศึกษาศาสนาอิสลามจากโรงเรียนด้วย เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ครูของท่านได้สอนประวัติของพระพุทธเจ้าให้ทราบด้วย แต่อธิบายในเชิงเหยียดหยามว่า “พระพุทธเจ้าเป็นคนขอทาน ปฏิบัติตนไปในทางสุดโต่ง คือทรมานตนอยู่ในป่า บางครั้งก็เป็นชีเปลือย บางครั้งก็นอนบนท่อนไม้ บางครั้งก็นอนบนหนาม” ทั้งๆ ที่ครูอธิบายในทำนองนี้ แต่ท่านก็เกิดความสนใจในชีวิตของพระพุทธเจ้ามาก และต้องการที่จะรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นมา
บางครั้งท่านเคยถามมารดาและบิดาของท่านว่า ใครสร้างโลกและสัตว์โลกขึ้นมา ก็ได้รับคำตอบว่า พระเจ้าคือพระอาหล่า เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง จึงทำให้ท่านสนใจต่อพระอาหล่าและอยากจะพบพระเจ้า แต่ก็ยังคิดใคร่ครวญอยู่มาว่า ใครกันแน่สร้างโลก รวมทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย คิดมากจนบางครั้งเกิดความวุ่นวายขึ้นในใจ จนนอนไม่หลับ บางครั้งก็นั่งคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวในห้อง จนคืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งคิดอยู่ในห้องคนเดียวนั้น ก็มีลมพัดมาอย่างแรงทางหน้าต่างห้อง แล้วอมนุษย์รูปร่างใหญ่โตเข้ามาปรากฏแก่ท่าน ท่านตกใจมากจึงได้วิ่งไปหาพ่อของท่าน ขณะวิ่งไป ได้ชนเอาประตูห้อง ถึงคิ้วแตก ท่านยังได้ชี้รอยแผลเป็นที่หางคิ้วให้ผู้เขียนดูด้วย จนพ่อแม่ของท่านต้องห้ามไม่ให้ท่านไปนั่งอยู่คนเดียวในห้องเช่นนั้น เพราะกลัวท่านจะเป็นบ้า บางครั้งท่านเคยถามครูเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ครูก็ไม่อาจที่จะให้คำตอบที่พอใจได้
คืนวันหนึ่ง เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านนอนแหงนดูดวงดาวต่างๆ ในท้องฟ้าอยู่ที่บริเวณทุ่งนาแห่งหนึ่งห่างจากบ้านของท่าน มองดูด้วยความเพลิดเพลินและสนใจยิ่ง พร้อมกับคิดไตร่ตรองอยู่ว่า ใครสร้างดวงดาวเหล่านี้ขึ้นมา ขณะนั้นจิตใจจดจ่อดูเฉพาะดวงดาวเหล่านั้น จนเกิดสมาธิขึ้นอย่างแน่วแน่ เห็นดวงดาวในท้องฟ้าต่างๆ มารวมเป็นจุดเดียวกัน จิตเกิดความสว่างไสวขึ้น มันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ครั้งแรกในชีวิตของท่าน ทั้งนี้คงเป็นเพราะมีบารมีที่เคยได้สั่งสมมาในเรื่องนี้เมื่อชาติปางก่อน
เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี น้องสาวที่รักของท่านได้ตายจากไป ทำให้ท่านเศร้ามาก ถึงกับนอนไม่หลับในบางครั้ง ได้เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่า ชีวิตคืออะไรกันแน่ ทำไมคนจึงต้องตาย ใครนำวิญญาณน้องสาวไป เมื่อตายแล้วน้องสาวจะไปเป็นอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์และสัตว์ขึ้นมาแล้ว มาทำให้เขาเหล่านั้นต้องตายอีก ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเหล่านี้แก่ท่านได้ ท่านได้เฝ้าคิดเรื่องนี้อยู่เรื่อยมา
ต่อมา ท่านได้เดินทางเข้าไปศึกษาต่อที่เกาะชวา อันอยู่ห่างจากเกาะ มธุระ บ้านเกิดของท่านประมาณ ๒๕๐ ก.ม. ณ ที่นั้น ท่านได้พยายามพบอาจารย์ทางไสยศาสตร์ ซึ่งบางคนก็เป็นหมอผี บางคนก็เป็นพวกเข้าทรง บางคนก็มีความชำนาญทางสมาธิ เมื่อท่านขอร้องให้อาจารย์เหล่านั้นสอนวิธีทำสมาธิให้ แต่ไม่มีใครยอมสอนให้ โดยอ้างว่า อายุยังน้อยเกรงว่า อาจจะทำให้เสียสติได้ ทั้งไม่มีอาจารย์ท่านใดสามารถตอบคำถามที่ท่านกำลังหาคำตอบอยู่ ให้เป็นที่พอใจได้เลย
ในที่สุด เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ในป่าลึกแต่ผู้เดียว อันเป็นป่าที่ไกลจากหมู่บ้านมาก ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย มีแต่สัตว์ป่า และเป็นป่าใหญ่อยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา โดยมีจุดมุ่งหมายจะค้นหาความจริงแห่งชีวิต และเพื่อจะหาคำตอบต่อคำถามที่ตนกำลังค้นหาอยู่
เมื่อเข้าไปถึงป่าแห่งนั้นใหม่ๆ หาอาหารอะไรกินไม่ได้ เพราะป่าบริเวณนั้นเป็นป่าต้นกะถินและป่าไม้สัก จึงต้องอดอาหารถึง ๓ วัน ในที่สุดก็ต้องกินใบไม้เป็นอาหาร และกินใบไม้เป็นอาหารอยู่เป็นเวลา ๔ ปีครึ่ง ตลอดเวลาที่อยู่ในป่าลึกแห่งนั้น
ในระยะ ๖ เดือนแรกที่เข้าไปอยู่ในป่า ได้พยายามสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า ให้มาช่วยและให้คำตอบข้อที่ตนสงสัยอยู่ แต่ไม่ได้ผลอันใดเลย ท่านจึงเลิกเชื่อถือในพระเจ้าอาหล่า แล้วหันมาสนใจตัวเอง ตรึกตรองว่า ทำไมตัวเองบางครั้งจึงโกรธ ทำไมต้องหิว ทำไมต้องง่วง ใครเป็นตัวทำให้โกรธ ใครทำให้หิว และใครทำให้ง่วง
เมื่อ ๖ เดือนผ่านไปแล้ว ได้มีเทพยดา ๒ องค์มาปรากฏแก่ท่าน ซึ่งหน้าตาก็คล้ายมนุษย์ มายืนอยู่ตรงหน้า เท้าไม่จรดพื้น โดยลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดิน รูปร่างใหญ่โตและสูงมาก แต่เทพทั้ง ๒ องค์นี้มาต่างวาระกัน โดยมาสอนวิธีทำกรรมฐานแก่ท่าน ท่านก็ปฏิบัติตาม เมื่อท่านเลิกปฏิบัติตามวิธีขององค์แรกเพราะไม่ได้ผล องค์ที่สองก็เข้ามาปรากฏสอนให้ท่านเพ่งกสิณ โดยไม่ให้เคลื่อนไหวดวงตา ท่านปฏิบัติวิธีนี้อยู่ถึง ๖ เดือน จนตาพร่าตาลาย เมื่อไม่ได้ผลก็เลิกไปที่สุด
เมื่อ ๑ ปีผ่านไป ก็มีเทพธิดา ๒ องค์มาปรากฏแก่ท่าน บอกชื่อตนเองแก่ท่านว่า ตนเองชื่อว่า สการสารี ผู้เป็นพี่ ส่วนน้องสาวนั้นชื่อว่า สการอารัม ครั้งแรกก็มาในฐานะมิตร แต่ภายหลังท่านทราบว่านี้คือมาร หาใช่มิตรไม่ ท่านก็เลิกคบ ธิดามารทั้งสองก็ตั้งตนเป็นศัตรู และส่งปีศาจพรรคพวกมาก่อกวนหลอกหลอนต่างๆ ทำเสียงน่ากลัวมากในกลางคืน จนท่านนอนไม่หลับ ในที่สุดท่านตั้งจิตอธิษฐานนั่งสมาธิตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนว่า “ถ้าอมนุษย์เหล่านี้ไม่หายไปแล้ว ท่านจะไม่ยอมลุกขึ้น” จนถึงรุ่งเช้า อมนุษย์เหล่านั้นก็หายไปสิ้น และใจของท่านสงบและมีพลังมาก จากการนั่งสมาธิในคืนวันนั้น
ต่อมาวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในป่าแห่งนั้น ก็มีลมพัดเข้ามาปะทะตัวท่านอย่างแรง แล้วลมนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นแสงคล้ายแสงฟ้าแลบ แล้วปรากฏมีชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าท่าน แต่ยืนอยู่ในอากาศ เท้าไม่จรดพื้นดิน ห่างจากพื้นประมาณ ๑ ศอก ท่านบอกว่ามีรูปร่างสวยงามน่าดูมาก และมีแสงสุกใสออกจากตัว สักครู่หนึ่งรูปนั้นก็หายไป กลับได้ยินแต่เสียงออกมาเป็นภาษาชวาว่า “เราจะมาสอนท่านให้ปฏิบัติสมาธิ โดยจะสอนแนวที่ถูกต้องให้” แล้วสั่งให้ท่านนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะทิศตะวันออกเป็นที่มาของความสว่าง และบอกว่าการทำสมาธิที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีคุณธรรม ๓ ประการ คือ ความเพียร ความอดทน และสติ ถ้าได้ ๓ อย่างนี้ จะสามารถทำให้เกิดทิพยจักษุ (ตาทิพย์) ได้ แต่ท่านไม่ยอมเชื่อ เพราะเคยมีประสบการณ์ที่ถูกธิดามารหลอกมาแล้ว
ท่านจึงบอกไปทางเสียงนั้นว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่านดอก” แล้วก็มีเสียงตอบมาว่า “ทำไมไม่เชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความเอ็นดูสงสารท่าน ท่านได้รับความลำบากเพราะการรบกวนของมารมาแล้ว ข้าพเจ้าจะมาช่วยท่านและสอนท่านในทางที่ถูก”
แม้เสียงจะกล่าวยืนยันออกมาเช่นนั้น ท่านก็ยังไม่ยอมเชื่อ เพราะท่านถือว่าท่านเองก็มีอำนาจวิเศษอยู่ในตัวเหมือนกัน ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในคราวผจญธิดามาร ท่านจึงได้พูดออกมาว่า “ถ้าท่านสามารถโจมตีข้าพเจ้าด้วยอำนาจของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าจะยอมเชื่อ”
ในทันใดนั้นเอง ก็มีลมพัดมาอย่างแรง ปะทะตัวท่านลอยขึ้นไปกระแทกกับต้นไม้ถึง ๓ ครั้ง จนมีเลือดออกมาจากหลังของท่าน และท่านก็ไม่อาจเคลื่อนไหวตัวได้เพราะความเจ็บปวด จึงต้องยอมแพ้ แล้วบอกไปยังเสียงนั้นว่า “ข้าพเจ้ายอมเชื่อท่าน”
ต่อจากนั้น เทพเจ้าผู้มีอำนาจนั้น ก็กล่าวกับท่านว่า “ผู้เริ่มปฏิบัติสมาธิจะต้องไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อใจของตน ในการมาอยู่ที่นี้ ท่านจะต้องได้รับอนุญาต และได้รับพรจากมารดาบิดาของท่านเสียก่อน เพราะท่านมาที่นี้ยังไม่ได้รับอนุญาตมาจากมารดาบิดาของท่าน และท่านจะต้องเคารพมารดาบิดาของท่าน เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูตัวท่านมาตั้งแต่เล็ก” ท่านก็ตอบไปว่า “เป็นไปไม่ได้ เพราะมารดาบิดาของข้าพเจ้าอยู่ไกลจากที่นี้ ถึงประมาณ ๑,๐๐๐ กม.”
มีเสียงตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าท่านไปแต่เพียงกายอย่างเดียว ก็ยังไม่ชื่อว่าเคารพมารดาบิดาที่ถูกต้อง เพราะความสำคัญในการเคารพอยู่ที่ใจ”
ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้ายังเชื่อท่านไม่ได้” เทพเจ้าตอบมาว่า “ถ้าไม่เชื่อจงนั่งลง” และเมื่อท่านนั่งลง มารดาบิดาของท่านก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านด้วยอำนาจเทพเจ้าบันดาล และตัวท่านก็ลุกขึ้นไปกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพ โดยกราบถึง ๓ ครั้ง แบบชาวพุทธกราบ การทำเช่นนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะท่านเองก็ไม่รู้จักวิธีกราบแบบชาวพุทธมาก่อนเลย หลังจากนั้นใจของท่านก็แจ่มใสมาก
ต่อจากนั้น เทพเจ้าก็เริ่มสอนวิธีทำสมาธิแก่ท่าน โดยในครั้งแรก นิรมิตดวงเทียนให้ท่านเพ่งดวงเทียนนั้น (เตโชกสิณ) จนจิตของท่านสงบเป็นเอกัคคตารมณ์ และสามารถขยายดวงเทียนนั้นให้มีแสงสว่างเหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ และเหมือนดวงอาทิตย์ นับว่าแปลกมาก
เมื่อท่านสำเร็จการทำเตโชกสิณแล้ว เทพเจ้าก็สอนให้ทำอาโปกสิณ (เพ่งน้ำ) ปฐวีกสิณ (เพ่งดิน) วาโยกสิณ (เพ่งลม) และพิจารณาร่างกระดูก (อัฏฐิกรรมฐาน) ตามลำดับ โดยนิรมิตสิ่งเหล่านี้มาให้ปรากฏแก่ท่าน แต่กรรมฐานทั้ง ๕ ประเภทนี้ แต่ละอย่างท่านต้องใช้เวลาฝึกนานถึง ๖ เดือนเต็ม รวมแล้วท่านฝึกกรรมฐาน ๕ อย่างนี้อยู่ถึง ๒ ปีครึ่ง แล้วในที่สุดเทพเจ้าองค์นั้นสรุปให้ฟังว่า “ร่างกายของท่านมาจากธาตุทั้ง ๔ อย่าง คือ มาจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม และท่านควรสนใจในร่างกระดูก”
เมื่อท่านมาคิดไตร่ตรองดูก็ทราบชัดว่า ร่างกายของท่านเป็นเช่นนี้ และมาพิจารณาร่างกระดูกอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งว่ามันหลุดออกเป็นชิ้นๆ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นธาตุทั้ง ๔
ต่อจากนั้น ก็มีเสียงดังออกมาว่า “ขณะนี้ท่านมีความชำนาญในการทำสมาธิแล้ว ถ้าท่านต้องการมีความก้าวหน้าในการทำสมาธิเพิ่มขึ้น ก็ขอให้ท่านจงออกจากป่าแห่งนี้ไป พยายามสืบหาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะข้าพเจ้าสามารถสอนท่านได้แค่นี้ ไม่อาจจะสอนท่านให้ก้าวหน้ายิ่งไปกว่านี้”
พอได้ฟังดังนั้น ท่านก็ตั้งใจที่จะออกจากป่า แต่ใจของท่านยังมีความลังเลอยู่ แล้วมีเสียงดังออกมาว่า “ท่านจงไปสืบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เมืองสุราบายา ณ ที่นั้น ท่านจะพบกับชาวจีนผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า”
แต่ท่านก็ยังสงสัยอีกว่า “ในเมืองสุราบายามีคนพูดเรื่องสุญญตากันมาก ฉันไม่เข้าใจเรื่องสุญญตาเลย คงตายเสียดีกว่า” ก็มีเสียงดังออกมาอีกว่า “ถ้าท่านอยากทราบเรื่องสุญญตา ก็ให้นั่งลงทำสมาธิ แต่จงอย่าหลับ เริ่มตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน” ท่านนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า เรื่องนั่งชั่วระยะเวลาเพียงเท่านั้นนะรึ ง่ายมาก เพราัท่านเคยนั่งมานานกว่านี้เสียอีก แต่พอเริ่มนั่งเข้าจริงๆ ประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น ท่านก็หลับผล็อยไปเลย ไปตื่นเอาตอนเช้าของวันใหม่ แล้วก็ถูกต่อว่าจากเทพเจ้าว่า “ก็ไหนท่านว่าต้องการรู้จักสุญญตา แต่ทำไมมานั่งหลับเสียละ” ท่านรู้สึกละอายมาก ไม่รู้มันหลับไปได้อย่างไร แล้วคืนต่อไปเทพเจ้าสั่งให้ท่านทำใหม่ โดยบอกว่า “คราวนี้เริ่ม ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๑ อย่าได้หลับ” ท่านก็ตั้งใจนั่ง แต่พอนั่งไปประมาณ ๕ นาทีเท่านั้น ก็หลับผล็อยไปเช่นเดิม มาตื่นเอารุ่งเช้าของวันใหม่อีก ท่านรู้สึกละอายและขัดใจตัวเอง พูดกับตนเองว่า “ถ้าไม่รู้จักสุญญตา ก็จะนั่งทำสมาธิให้ตายอยู่ในป่าแห่งนี้” แล้วเทพเจ้าก็พูดให้กำลังใจขึ้นว่า “ท่านมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งในคืนนี้ แต่ต้องนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๒” คราวนี้ท่านระวังตัวมาก เพราะเกรงว่าจะหลับอีก จึงได้ตัดไม้เรียวมาอันหนึ่ง ตั้งไว้ข้างๆ ตัว พอทำท่าจะหลับ ท่านก็เอาไม้เรียวนั้นฟาดเข้าที่หัวของท่าน บางทีก็ลำตัว บางทีก็ตามขา ง่วงทีไรก็ฟาดทุกที จนรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง จึงสามารถทรงตัวอยู่ได้ไม่หลับจนถึงตี ๒ แล้วก็มีเสียงดังออกมาว่า “ท่านนี้ฉลาดมาก” “ใช่แล้ว ข้าพเจ้าต้องการจะเอาชนะความคิดของท่าน” ท่านพูดขึ้น
ต่อจากนั้น เทพเจ้าก็สั่งให้ท่านนั่งติดต่อกันไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ ในการนั่งช่วงสุดท้ายนี้ ท่านได้เห็นสิ่งแปลกมากที่สุดในชีวิต คือสามารถมองเห็นวิญญาณมาปฏิสนธิในครรภ์มารดาของท่าน แล้ววิญญาณนั้นเมื่อผสมกับไข่และสเปอร์ม แล้วก็ค่อยเติบโตขึ้นมาจนเป็นตัวของท่านเอง แล้วเทพเจ้าก็พูดขึ้นว่า “การที่คนต้องเกิดๆ แล้วตายๆ แล้วเกิดอยู่นี้แหละ คือ สุญญตา แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถสอนท่านให้มากไปกว่านี้ ขอให้ท่านจงพยายามไปแสวงหาคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจงนับถือพระพุทธศาสนา”
ท่านได้พูดกับผู้เขียนในตอนหนึ่งว่า “เทพเจ้าที่เป็นครูของผมนั้น อย่างน้อยน่าจะเป็นพระโสดาบัน เพราะเข้าใจพระพุทธศาสนามาก”
ในที่สุด ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านก็ได้เดินทางออกจากป่าแห่งนั้น หลังจากที่ได้อยู่มาเป็นเวลา ๔ ปีครึ่ง และได้ไปพบชาวจีน ที่เมืองสุราบายาตามคำสั่งของเทพเจ้า ชาวจีนผู้นั้นก็ได้ให้ใบกำหนดการทำวิสาขบูชาที่เมืองสุราบายาแก่ท่านใบหนึ่ง ท่านก็ได้ไปร่วมพิธีวิสาขบูชากับเขาด้วย
ในพิธีวิสาขบูชาครั้งนั้น ท่านได้พบกับพระในพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก คือท่าน ชินรักขิโต จากเกาะบาหลี ซึ่งได้รับอุปสมบทมาจากประเทศไทย คือบวชที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อ ๑๐ ปีก่อน จากนั้น ในวันนั้น ท่านชินรักขิโต อธิบายธรรมะน่าสนใจมาก จึงทำให้ท่านอยากเป็นเหมือนกับพระรูปนี้ ได้พยายามเข้าพบท่านเพื่อขออุปสมบท แต่ท่านชินรักขิโตบอกว่า การบวชนั้นยาก เช่นต้องรับประทานอาหารเพียงเช้าชั่วเที่ยงเป็นต้น ท่านคิดว่าเรื่องนี้ง่ายสำหรับท่าน เพราะท่านเคยลำบากมามากเมื่ออยู่ในป่าคนเดียว และท่านรักขิโต ก็ไม่ยอมให้ท่านบวช ท่านจึงได้พยายามหาทางที่จะบวชอยู่เป็นเวลา ๔ ปีเต็ม ในที่สุดท่านจึงมีโอกาสได้บวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๒๕๑๕ โดยมีท่านชินปิยะ ชาวอินโดนีเซีย เป็นพระอุปัชฌาย์
ท่านกล่าวว่า ในระหว่างที่กำลังหาโอกาสที่จะได้อุปสมบทอยู่นั้น ครั้งหนึ่งได้นั่งสมาธิติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน โดยไม่ทานอาหาร ไม่ได้ดื่มอะไรและไม่ได้หลับเลย ที่เมืองสุราบายา เพราะไม่มีใครสามารถให้ท่านได้บวชเป็นพระได้ ท่านตรึกตรองไปในขณะนั่งสมาธิว่า “ฉันจะมีโอกาสได้บวชเป็นพระไหม” เพื่อหาคำตอบจากใจของท่าน ท่านนั่งมาจนกระทั่งถึงตอนเช้าของวันที่สาม ท่านก็ได้เห็นวัดบวรนิเวศวิหารในเมืองไทยอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลกันมาก เห็นได้ชัดเจนด้วยตาที่กำลังลืมอยู่ พร้อมด้วยเห็นพระกำลังออกบิณฑบาต เหมือนกับที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันทุกอย่าง นับว่าแปลกมาก ถึงกับพูดกับตัวเองว่า “ใจของเราวิเศษมาก ฉันคงจะได้บวชเป็นพระแน่แล้ว” ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยทราบเกี่ยวกับวัดบวรนิเวศวิหาร และเกี่ยวกับพระธรรมทูตจากประเทศไทยในขณะนั้นมาก่อนเลย แล้วท่านก็พูดกับใครต่อใครหลายคนว่า ท่านจะได้บวชเป็นพระแน่ แต่ไม่มีใครเชื่อท่าน
อีกตอนหนึ่งท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านกำลังหาทางบวชพระอยู่นั้น ท่านได้ไปสวดมนต์และปฏิบัติธรรมที่วัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองสุราบายา ต่อจากนั้นไม่นานท่านก็ได้รับหนังสือธรรมบทเล่มหนึ่ง ซึ่งแปลเป็นภาษอังกฤษ โดยท่านญาณโปนิกะ พระเถระชาวลังกา โดยได้รับแจกจากชาวจีนผู้หนึ่ง เมื่อได้รับแล้วท่านก็ได้อ่านด้วยความสนใจต่อข้อธรรมในพระธรรมบทนั้น ตั้งแต่ตอนเช้าของวันหนึ่งจนกระทั่งถึงตอน ๒ โมงของวันใหม่โดยไม่หยุดพักเลย เพราะข้อความต่าง ๆ ในพระธรรมบทนั้น ตรงกับที่ท่านเคยปฏิบัติและเคยคิดมา และเป็นการตอบปัญหาต่อความข้องใจของท่านด้วย
หลังจากที่ได้บรรพชาแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย มีคนเลื่อมใสและสนใจในคำสอนของท่านมาก เป็นอิสลามก็มี ท่านเดินทางท่องเที่ยวสอนพระพุทธศาสนาอยู่ ๒ ปี มีคนหันมานับถือพระพุทธศาสนาเพราะท่านประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน นับว่าท่านทำงานพระศาสนาด้านนี้ได้ผลมาก
ต่อมา ท่านได้เข้าไปหาพระชินปิยะ ผู้เป็นอุปัชฌาย์ของท่าน เพื่อขอให้อุปัชฌาย์จัดการอุปสมบทให้ แต่อุปัชฌาย์ของท่านปฏิเสธ เพราะมีความลำบากในการหาพระสงฆ์มาให้การอุปสมบท และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอุปสมบทแล้ว อุปัชฌาย์ก็ต้องติดตามคอยดูแลอยู่เสมอ เพระอุปัชฌาย์กว่าจะได้พบกับท่านก็นาน ๆ สักครั้ง แล้วพระชินปิยะก็แนะนำให้ไปหาพระอื่น ๆ บางทีอาจจะมีใครสามารถส่งท่านไปทำการอุปสมบทในต่างประเทศได้
ในที่สุด ท่านก็ไปพบท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ (วิญญ์ วิชาโน) พระธรรมทูตไทยจากวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทางการส่งไปปฏิบัติงานในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ ๒๕๑๒ โดยเข้าพบท่านที่เมืองมาลังที่ชวาภาคกลาง เพื่อขอให้ท่านจัดการอุปสมบทให้ ท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ ก็ยินดีรับเป็นภาระจัดการส่งท่านมาอุปสมบทในเมืองไทย แล้วท่านก็ได้เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับท่านเจ้าคุณพระปรยัติกวี (อัมพร อมฺพโร ป.ธ. ๖, ศน.บ., M.A.) พระธรรมทูตไทยจากวัดราชบพิธ ซึ่งเดินทางจากออสเตรเลียกลับเมืองไทย และได้แวะที่อินโดนีเซีย เมื่อปี ๒๕๑๗
ที่เมืองไทย ท่านได้รับการอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดนมี เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร เป็นอุปัชฌาย์ ในวันที่ ๒๐ มิ.ย. ๒๕๑๗ สมความตั้งใจของท่าน ท่านมีความรู้สึกว่าการบวชในพระพุทธศาสนาเป็นโอกาศให้ได้ศึกษาการเจริญภาวนา เพื่อหาคำตอบต่อคำถามที่ข้องอยู่ในใจนั้นง่ายขึ้น ในปี ๒๕๑๘ ท่านได้ไปฝึกกรรมฐานกับท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี คือ พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย และได้อยู่กับท่านอาจารย์เทสก์เป็นเวลา ๑ ปี มีความพอใจในวิธีการฝึกอบรม และรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าไปไกลมากยิ่งขึ้น
ขณะที่อยู่วัดหินหมากเป้งนั้น ท่านได้เรียนถามแนวปฏิบัติบางประการกับท่านอาจารย์เทศก์ โดยมี พระสติเวนสัน ปัญโญภาโศ พระภิกษุชาวอังกฤษ เป็นผู้แปลคำถามคำตอบ ซึ่งผู้เขียนขอตัดตอนมาจากหนังสือ ปฏิบัติธรรม-สนทนาธรรม ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ซึ่งท่านอาจารย์เทสก์เป็นผู้รวบรวมไว้ แต่นำมาเฉพาะบางตอนเพื่อประกอบเรื่องท่านสุธัมโมให้เข้าใจชัดยิ่งขึ้น
เริ่มต้นด้วยท่านสุธัมโม กราบเรียนท่านอาจารย์เทสก์ เป็นทำนองเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟังว่า
“ประสบการณ์ในการภาวนาของผม ได้รับความอัศจรรย์ใจมาก ตอนที่ได้มารับการฝึกอบรมที่วัดหินหมากเป้งและที่วัดวังน้ำมอกนี้ โดยมีท่านอาจารย์เป็นผู้แนะนำแนวทาง ก่อนหน้าที่ผมจะมาวัดหินหมากเป้งนี้ผมอยู่ที่วัดบวรฯ รู้สึกว่ายังไม่มีพลังใจมากเหมือนกับอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง เมื่อมาอยู่วัดหินหมากเป้ง การนั่งก็นั่งได้ตัวตรงดิ่งแล้วก็มีพลังใจมาก ก่อนที่ผมจะมาประเทศไทย ผมอยู่ที่อินโดนีเซีย เรื่องเกี่ยวกับสมถะผมก็ได้ฝึกอบรมมานานพอสมควร แต่ว่าพูดถึงเรื่องวิปัสสนาแล้ว เคยมีพระอยู่ที่อินโดนีเซียแนะนำให้ผมเอาสติเข้าตั้งเกี่ยวกับการเดิน การนั่ง การนอน ทุก ๆ อิริยาบท แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นหลักในการที่จะเจริญวิปัสสนาเลย หลังจากผมได้ฝึกอบรมกับพระที่อยู่อินโดนีเซีย แล้วผมก็มาอยู่เมืองไทยมาบวชที่วัดบวร ฯ กับสมเด็จพระญาณสังวร แล้วผมได้ขออนุญาตสมเด็จ ฯ มาอยู่กับท่านอาจารย์ สมเด็จฯ ก็อนุญาต ผมดีใจมาก พอได้รับคำอนุญาตผมรีบมาทันทีเลย ถ้าไม่อนุญาตผมจะกลับไปอินโดนีเซียทันที ไม่อยากจะอยู่
ในระหว่างที่ผมอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง และได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์ วันหนึ่งเมื่อผมนั่งภาวนา ศีรษะของผมเกิดหลุดออกไปจากตัวมาอยู่ตรงหน้า แล้วผมก็จ้องพิจารณามันจนเหลือแต่กระดูกเหลือแต่ฟัน บางทีก็มีลิ้นห้อยออกมาด้วย ผมจ้องอยู่อย่างนี้ราวสัก ๒-๓ วัน พวกกระดูก พวกเนื้อหนังมังสาทุกอย่าง มันก็กลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไปในที่สุดได้ ต่อมาผมได้มาศึกษากับท่านอาจารย์ต่อ ว่าจะทำอย่างไรเกี่ยวกับการภาวนา ท่านอาจารย์ได้ให้การแนะนำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจ คือว่าถ้ามันเกิดขึ้นมาเรียกว่าอาการของใจ ส่วนใจมันก็อยู่ของมันเฉย ๆ เป็นใจต่างหาก ถ้ามีความนึกคิดเกิดขึ้นก็เรียกว่าอาการของใจ ผมก็พยายามไปจดจ้องอาการของใจกับใจ ผมเร่งทำความเพียรอย่างหนัก พยายามนอนให้น้อยที่สุด อาจจะเป็น ๒-๓ ชั่วโมงหรือ ๔ ชั่วโมงต่อวันอย่างนี้เป็นต้น แต่แล้วผมก็ไม่สามารถจะทำให้การภาวนาดีขึ้นมาได้
วันหนึ่ง ฟันของผมปวดไปหมด ผมก็เอาความปวดมาเป็นเครื่องกำหนด แล้วเอาใจไปรู้ต่างหาก คือให้ใจไปรับรู้กับความเจ็บปวดนั้น ผมพยายามจะแยกออก ในที่สุดผมก็แยกได้ ทุกข์มันก็ทุกข์อยู่ในสภาพของมันาเอง แต่ใจมันก็ไม่ได้ทุกข์ไปด้วยเลย ผมไม่ได้รับความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของมันเอง นี้ก็เป็นความก้าวหน้าอีกอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์มา
ท่านอาจารย์เทสก์ได้ตอบให้เข้าใจว่า
“คืออย่างที่ท่านพูดมาในตอนต้น มีพระสอนให้เจริญวิปัสสนา โดยเอาสติเข้าไปตั้งทุกอิริยาบถ อันนั้นยังไม่ใช่อบรมวิปัสสนา อันนั้นเป็นการอบรมสติ คือตัวสมถะนั่นเอง มาตอนนี้ท่านมาใช้การแยก คือให้รู้จักจิตและอาการของจิต เมื่อรู้จักจิต มากำหนดจิต และอาการของจิต พอตอนนี้วางอาการของจิตเหลือแต่จิตอันเดียว ที่มันวางอาการของจิต มันเกิดปฏิภาค ที่ปรากฏเห็นหัวขาดออกไป หรือหัวตกออกไปอะไรต่าง ๆ เหลือกระดูกและฟันนั้น มันเป็นเรื่องของปฏิภาค มันก็อยู่ในขั้นของสมถะไม่ใช่วิปัสสนาก่อน มาตอนนี้ท่านมากำหนดเวทนาตอนที่เจ็บฟันนี้ มันเป็นเรื่องของการเดินมรรค คราวนี้คือจิตจดจ่อแต่เรื่องเวทนา มันเข้าเรื่องปัญญา ตอนนี้เรียกว่ามรรค เบื้องต้นเป็นเรื่องฌาน ถ้าจะพูดตามหลักอันนี้เป็นเรื่องของการเดินมรรคหรือวิปัสสนา จะหยาบหรือละเอียดแล้วแต่ภูมิของมรรคนั้น ๆ “
ท่านสุธัมโม เรียนถามว่า
ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ตอนที่ผมอยู่ประเทศอินโดนีเซีย อยู่ในป่ามีเหตุการณืในการภาวนาของผมครั้งหนึ่ง คือว่าเลือดเริ่มเดินจากปลายเท้าขึ้นและพุ่งขึ้นมาเป็นลำดับ แต่ว่าผมก็ตั้งสติบอกว่า คนเกิดมาทุก ๆ คนในโลกนี้ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะไม่ตาย ร่างกายนี้ก็เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนจิตได้พุ่งออกไปจากกาย และเห็นร่างกายนี้เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ผมได้นั่งจากตอนเช้าของวันหนึ่งไปจนถึงเช้าอีกวันหนึ่ง ตอนที่จิตของผมออกจากกายนั้น ผมร฿้สึกว่าผมได้ตายไปเสียแล้ว แต่ว่าเวลาจิตกลับเข้ากายอีกครั้งหนึ่ง ผมเริ่มมีความรู้สึกเริ่มตั้งแต่หน้าผากลงไป แล้วก็ตา จมูก ปาก จนไปทั่วทุกส่วนของร่าง แรก ๆ ก็ไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ เวลาจะพูดก็รู้สึกพูดได้ยากมาก เหตุการณ์ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุอะไรครับ ท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์เทสก์ ตอบว่า
“ลักษณะที่เป็นนั้น ก็อยู่ในจำพวกจิตเข้าภวังค์ มันมีลักษณะเดียวกันกับที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ แต่ที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านเข้าตามลำดับชั้น คือ เข้าตั้งแต่ปฐมฌาน ทุตินฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วจึงเข้านิโรธสมาบัติ ตอนที่ท่านเข้านิโรธสมาบัตินั้น ท่านต้องอธิษฐานในใจ โดยกำหนดเท่านั้นเท่านี้วันค่อยออก มีลักษณะอาการคล้าย ๆ กัน แต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่รู้จักชั้นไม่รู้จักภูมิ ไม่รู้จักขั้นไม่รู้จักตอน จิตมันรวมวูบเข้าไปหายเงียบเลย เรียกว่าจิตเข้าภวังค์อย่างที่เราเป็น ๆ กันส่วนมาก นักปฏิบัติทั้งหลายที่ว่าหายวับเข้าไปเงียบเลย แต่อันนี้ด้วยอำนาจพลังจิตของท่านกล้าหาญ ท่านจึงอยู่ได้นาน โดยมากไม่นาน ครู่หนึ่ง ขณะหนึ่งแล้วก็ถอนออกมา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เข้าลักษณะของภวังค์ คืออยู่ในฌานนั่นเอง ฌานนั้นถึงแม้จิตจะละเอียด แต่ไม่มีปัญญาที่จะพิจารณาเห็นพระไตรลักษณญาณ เพราะเมื่อจิตถอดออกจากภวังค์แล้ว มีความรู้สึกขึ้นมาจึงกลัวตาย”
ท่านสุธัมโม เรียนถามต่อไปว่า
“หลังจากนั้นอีก ๓ เดือน ผมได้รับประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง คือผมนั่งไปไม่รู้กี่วียกี่คืนกันแน่ เพราะตอนนั้นผมก็ไม่ได้ไปสนใจเกี่ยวกับวันและเวลา หลังจากที่ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ตัวผมสกปรกเกรอะกรังด้วยคราบน้ำไปหมดทั้งตัว และมีเศษไม้ต่าง ๆ อยู่รอบบริเวณที่ผมนั่ง แสดงว่าต้องมีน้ำท่วมขึ้นมา มันถึงได้มีปรากฏการณ์อย่างนั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รับประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง คือผมสามารถเห็นโยมพ่อ โยมแม่ของผมกำลังสังวาสกันอยู่ มีเชื้ออสุจิประสมกัน แล้วมีแสงปรากฏขึ้นมา ในความรู้สึกนั้นว่า นั่นคือปฏิสนธิวิญญาณของผมเอง รวมเข้าด้วยกันแล้วหมุนอยู่กับที่ แล้วปรากฏเป็นร่างขึ้นมาเล็ก ๆ แล้วเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นสภาพของผมขึ้นมาครับ”
ท่านอาจารย์เทสก์ ตอบว่า
“แปลกมาก คือว่าเรื่องที่แสดงภาพนิมิตให้ปรากฏ เพื่อจะให้เราพิจารณาชาติคือความเกิด ปฏิสนธิมีลักษณะอาการอย่างนี้ ๆ คือต้องการให้เราพิจารณานั่นเอง เพื่อให้เห็นชัดตามความเป็นจริงว่ามีลักษณะอย่างนี้ ๆ ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก ตอนที่น้ำท่วมแล้วแห้งจึงมารู้สึกตัวนั่นซี น่าเห็นใจมาก ไม่ทราบว่านานกี่มากน้อยสักเท่าไร อาจเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมง หรือหลายวันก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัด”
จากการสนทนาระหว่างอาจารย์เทสก์กับท่านสุธัมโมนี้ นับว่าเป็นเรื่องแปลก และน่าสนใจของนักปฏิบัติกรรมฐานมาก
เมื่อปี ๒๕๑๙ ท่านกลับไปอินโดนีเซีย เพื่อช่วยงานพระศาสนาในประเทศของท่านถึง ๘ เดือน ในปี ๒๕๒๐ ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพักอยู่ที่ตึก ส.ว. และมีคนที่สนใจด้านกรรมฐานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับท่านหลายคน ส่วนมากเป็นผู้มีการศึกษาสูง ท่านยินดีต้อนรับทุกคนที่มาศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่าน
เรื่องของท่านสุธัมโม มีพิสดารกว่านี้มาก ผู้สนใจจะไปกราบเรียนถามท่านได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วท่านยินดีอธิบายให้ และให้ความช่วยเหลือตามความสามารถด้วยความเต็มใจยิ่ง แต่เดี๋ยวนี้ท่านไปสร้างสำนักกรรมฐานอยู่ในเกาะชวาภาคกลาง
ทั้งเรื่องพระพาหิยะ และเรื่องพระสุธัมโม ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในที่นี้ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า เทวดาหรือเทพเจ้านั้นมีจริง และสามารถช่วยมนุษย์ที่ควรช่วยได้จริง และท่านที่เคยทำบุญไว้เมื่อชาติก่อน ย่อมสามารถได้รับผลจริง อันเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดจริง ผู้ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลที่ตนกระทำไว้นั้นจริง กรรมดีและกรรมชั่วจึงมิได้สูญไปพร้อมกับความตายดังที่บางคนเข้าใจ คำสอนในพระพุทธศาสนาจึงคงทนต่อการพิสูจน์ของคนทุกยุคทุกสมัย.
จบหน้า 4 อ่านต่อหน้า 5 ความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน